วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Friends : ความหมายของคําว่า "เพื่อน"


เพื่อนคือ...ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ยิ่งกว่าแฟนก้อว่าได้ ไม่ตามใจมัน ก็ไม่ด่า แต่ถ้ามันไม่ตามใจเราก็ด่าได้ โดยที่มัน และเราไม่โกรธกัน เพื่อนเมื่อโกรธกันสามารถกลับมาคืนดีกันได้โดยไม่ต้องเก็บความสงสัยว่า เรื่องที่โกรธกันคืออะไร ผ่านแล้วก็ผ่านไป เพื่อนคือที่พึ่งยามเป็นทุกข์ เพื่อนคือที่ปรึกษา ตั้งแต่เรียน ทำงาน จนจะแต่งงานก็ยังต้องปรึกษามัน เพื่อนคอยสับรางเวลารถไฟจะชน เพื่อนคอยโกหกพ่อแม่เวลาไปเที่ยวแต่บอกว่าไปทำงาน เพื่อนคอยบอกแฟนว่าเรากำลังอยู่กับมัน ทั้งที่จริงเราไม่ได้อยู่กับมันหรอก และเพื่อนก็คือคนจ่ายค่าข้าวเวลาเราไม่มีเงิน "เพื่อน" คือ ทุกอย่าง มีผู้....ที่เคยคบกันถามว่าจะให้เลือกหนึ่งเดียว ระหว่างเค้าซึ่งคบกันมา 1 ปี กับเพื่อนซึ่งคบมาประมาณ 15 ปี ว่าคุณจะเลือกใคร ตอบแบบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า "เพื่อน" ซึ่งเค้าก็บอกว่าตอบผิดตอบใหม่ได้นะ เราก็บอกว่าตอบถูกแล้ว เพราะเค้าเห็นว่าเรารักเพื่อนมากกว่า แต่ไม่ใช่ ถัาเราจะต้องเอาคนเข้ามาในชีวิตอีก 1 คน ซึ่งก็ยังไม่รู้อะไรกันมาก กับเสียคนที่เรารู้จกกันมาเป็น 10 ปี เราว่าทุกคนก็ต้องมีคำตอบเหมือนกับเรา เพราะทั้งสำหรับคนทั้งสองกลุ่ม เราไม่สามารถเอาแต่ละคนมาบวกและลบกันเพื่อให้ผลลัพธ์เป็นศูนย์ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเลือกสิ่งที่มีค่ามากกว่า และสิ่งที่เราเลือก สิ่งนั้นก็คือ *****""เพื่อน""**** " some time happy… some time sad… but all time friend " บทส่งท้าย ถ้าเราสนุก ไปเที่ยวโดยไม่มีเพื่อน แล้วเล่าให้มันฟัง มันก็ไม่ว่าอะไร....แล้วถ้าเราเที่ยวแล้วเกิดปัญหา เราตามตัวมันมา มันเคยพูดไหมว่า "*ไม่สน*เที่ยวแล้วไม่ชวน* *แก้ไขเองแล้วกัน" คำพูดอย่างนี่จะไม่มีจากปากเพื่อน จะแต่ว่า " อยู่ตรงไหน เป็นอะไร" แล้วก็ลงท้ายว่า *จะรีบไป

ความรัก กับ ต้นหญ้า...


ความรัก กับ ต้นหญ้า... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ...มีครูกับลูกศิษย์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งใกล้กั บสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ ทันใดนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งก้อถามขึ้นมาว่า

ลูกศิษย์ : อาจารย์คับ ผมสงสัยจังเลยว่า เราจะหาคู่แท้เราเจอได้ไงคับ อาจารย์บอกผมหน่อยได้ไหม คับ?


อาจารย์ : (เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตอบ) อืม มันเป็นคำถามที่ยากนะ ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถาม ที่ง่ายเหมือนกันนะ ลูกศิษย์ : (นั่งคิดอย่างหนัก) อืม?....งงอะไม่เข้าใจ


อาจารย์ : โอเค งั้น เธอลองมองไปทางนั้นนะ ตรงนั้นน่ะ มีหญ้าเยอะแยะ เลยใช่ไหม เธอลองเดิน ไปหาหญ้าต้นที่สวยที่สุด แล้วเด็ดมาให้ครูสิ ต้นเดียวเท่านั้นนะ แต่ว่า เวลาเธอเดินเนี่ย เธอต้องเดินไป ข้างหน้าอย่างเดียวนะ ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจไหม


ลูกศิษย์ : ได้เลยครับ จาน รอสักครูน่ะครับ (ว่าแล้ว ก้อวิ่งตรงไปยังสนามหญ้า) หลังจากนั้นไม่นาน....

ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับจาน อาจารย์ : อืม...แต่ทำไมครูไม่เห็นต้นหญ้าสวย ๆ ในมือเธอเลยหละ

ลูกศิษย์ : อ๋อ คืองี้ครับจาน ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวย ๆ เนี่ย ผมก้อก้อคิดว่า เออ เดี๋ยว ก้อคงเจอต้นที่สวยกว่านี้ ดังนั้นผมก็เลยไม่เด็ดมัน แล้วผมก็เดินไปเรื่อย รู้ตัวอีกที มันก็สุดสนามหญ้าแล้ว ครับ จะเดินกลับก้อไม่ได้ เพราะจานสั่งห้ามไว้


อาจารย์ : นั่นแหละ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงหละ ... เรื่องนี้ต้องการที่จะสื่ออะไรกับเรา ต้นหญ้า ก็คือ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ ต้นหญ้าที่สวยงาม ก็คือ คนที่คุณชอบ หรือคนที่ดึงดูดคุณนั่นแหละ ส่วนทุ่งหญ้า ก็คือ เวลา ... เวลาที่คุณจะหาคู่แท้ของคุณ อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ แล้ว คิดว่า คงจะมีที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าคุณ มัวแต่ เปรียบเทียบ คุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่าลืมว่า..."เวลาไม่เคยย้อนกลับ" ไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้น เรื่องนี้ ยังสามารถใช้ได้กับ การหาคนที่จะมาทำงานร่วมกับคุในชีวิต หรือ แม้กระทั่งงานที่เหมาะสมกับคุณ ดังนั้น มันจึงเป็นสัจธรรม ที่ว่า ..."จงรัก และ ไขว่คว้า โอกาสที่คุณมีในขณะนี้ อย่ามัวแต่เสียเวลา บางครั้งคนเราก็มีโอกาสเลือกแค่ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น..."

“เทศกาลฤดูหนาว” ในประเทศญี่ปุ่น



ญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาวมีงานเทศกาลให้เที่ยวชมกันหลากหลายเทศกาล ได้แก่
Hakodate Illumination Fantasy, Hokkaido
ต้นไม้ที่เรียงรายเป็นแถวตามสองฟากฝั่งของถนนซึ่งเป็นเนินลาดเอียง 3 ระดับ ในเมือง Hakodate จะถูกประดับประดาไฟอย่างสวยงามในช่วงฤดูหนาว นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นเนินที่มีบรรยากาศแสนโรแมนติกเพื่อชมวิวของเมือง Hakodate จากมุมสูงได้








งานนี้จัดขึ้นตั้งวันที่ 1-14 กุมภาพันธ์ 2008 ย่านดาวน์ทาวน์เมือง
Hakodate Kamakura Festival
Kamakura Festival จัดขึ้นทุกปีที่เมือง Yokote จังหวัด Akita ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น งานเทศกาลนี้มีอายุเก่าแก่ถึง 400 ปี ความเป็นมาของงานเทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อขอบคุณเทพเจ้าแห่งน้ำและสวดอ้อนวอนเพื่อให้มีน้ำที่ใสสะอาดและอุดมสมบูรณ์ มีการเซ่นไหว้เหล้าสาเกและขนมโมจิแด่เทพยดา เมื่อนักท่องเที่ยวเดินผ่านกระท่อมน้ำแข็งซึ่งมีอยู่กว่า 100 กระท่อม จะได้รับการเชิญชวนจากเด็กๆ ด้วยภาษา
ท้องถิ่นของจังหวัด Akita เพื่อเชิญชวนให้เข้ามากินขนมโมจิ ซึ่งย่างภายในกระท่อมกับเหล้าสาเก
นอกจากความสนุกสนานในกระท่อมน้ำแข็งแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถชมความงามที่เกิดจากการจุดเทียนในโคม ไฟเล็กๆ ที่ทำขึ้นจากหิมะ ซึ่งแสงเทียนจากโคมหิมะจะปรากฏแสงแวววาวสะท้อนความงดงามของหิมะ สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างยิ่ง

งานนี้จัดขึ้นที่เมือง Yokote อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัด Akita ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2008
การเดินทาง จากสถานี Akita นั่งรถไฟ JR สาย
OU line ไปลงที่สถานีรถไฟ JR Yokote จากสถานีนี้จะมี Shuttle Bus บริการ
Chitose Shikotsuko Hyoto Matsuri
ในฤดูหนาวทะเลสาบ Shikotsuko จะกลายเป็นน้ำแข็งและจะมีการแกะสลักน้ำแข็งบนทะเลสาบพร้อมทั้งประดับประดาไฟสวยงามจนถึงเวลา 22.00 น. ทุกวันในช่วงเทศกาล นักท่องเที่ยวสามารถชมสีสันสวยงามของโคมไฟน้ำแข็งได้ทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การแสดงบนเวที การแข่งขันตัดน้ำแข็ง และการแสดงดอกไม้ไฟ
งานนี้จัดขึ้นที่ Shikotsuko Onsen, เมือง Chitose, Hokkaido ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม ถึง 17 กุมภาพันธ์ 2008
Frozen Hirayu Grand Waterfall Festival
เทศกาลที่มีการประดับตกแต่งไฟและแสงสีที่น้ำตกขนาดใหญ่ซึ่งได้กลายเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว มีความสูงถึง 64 เมตร และกว้าง 6 เมตร ความสวยงามของสายน้ำที่จับกันเป็นกลุ่มก้อนตั้งแต่ด้านบนลงมา เมื่อกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว มีลักษณะที่เปล่งประกายสวยงาม หาดูได้ยากยิ่ง

รักสุดท้ายของนายไฮโซ A Millionaire’s First Love


.FadingTooltip { BORDER-RIGHT: darkgray 1px outset; BORDER-TOP: darkgray 1px outset; BORDER-LEFT: darkgray 1px outset; BORDER-BOTTOM: darkgray 1px outset; BACKGROUND-COLOR: white;}
รักสุดท้ายของนายไฮโซ A Millionaire’s First Love

เรื่องย่อ :
รักสุดท้ายของนายไฮโซ A Millionaire’s First Love : เรื่องราวของ แจ คยอง (ฮยองบิน) เด็กหนุ่มลูกเศรษฐีที่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจและไม่ค่อยเอางานเอาการ ตอนนี้เขาเรียนอยู่ปีสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมแล้วแต่ก็นานๆ ทีถึงจะโผล่เข้าห้องเรียนสักครั้ง ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มีความอยากเรียนแต่เป็นเพราะเขารู้ตัวว่าไม่จำเป็น ที่จะต้องมาคร่ำเคร่งเรียนให้หนักต่างหาก และในวันเกิดครบสิบเก้าปีของเขา แจ คยอง ก็จะกลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว ซึ่งก็ต้องขอบคุณปู่ของเขาที่ทิ้งมรดกไว้ให้ แต่ก่อนจะถึงวันที่เขาจะได้เป็นมหาเศรษฐีนั้น ทนายประจำตระกูลก็ได้ค้นพบเงื่อนไขที่ซ่อนไว้ในพินัยกรรม นั่นก็คือ แจ คยอง จะได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปครอบครองก็ต่อเมื่อเขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนโบรัมเท่านั้น... โรงเรียนโบรัมมันอยู่ที่ไหนกันล่ะนี่....
โบรัมเป็นเพียงเมืองชนบทแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากชีวิตอันสะดวกสบายของแจ คยอง มากโข และเด็กหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมก็ ไม่มีทางเลือกนอกจากจำใจย้ายไปสู่สังคมชนบทเล็กๆแห่งนี้ ที่ซึ่งแม้แต่บัตรเครดิตของเขาก็ใช้ไม่ได้และเขายังไม่สามารถขับรถสปอร์ต ของเขาได้อีกด้วย แต่ท่ามกลางคนบ้านนอกหลังเขาเหล่านี้ แจ คยอง ก็ได้พบกับเด็กสาวที่ชื่อ อุน ฮวาน (ลี ยอง ฮี) ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่ แจ คยอง สามารถมองเห็นถึงความแตกต่างบางอย่าง...ที่พิเศษ...บางอย่างซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจให้เขายอมเปลี่ยนแปลงความเห็นแก่ตัว ความยโส และกลายเป็นคนที่มีนิสัยดีกว่านี้ แต่ว่า... มันยังมีเรื่องราวต่อจากนี้อีก


ขนมไดฟุกุ



คนไทยเราชอบเรียกว่าโมจิไส้ถั่วแดง แต่จริงๆเขาเรียกขนมประเภทนี้ว่า ไดฟุกุ แป้งด้านนอกทำจากแป้งข้าวเหนียวนึ่งที่นำมาตีจนเหนียว (โมจิ) มีสีขาว เขียวและชมพู ส่วนไส้ก็เป็นถั่วแดง ที่พิเศษก็จะใส่ผลไม้ลงไป เช่น อิจิโกะ ไดฟุกุ (Ichigo Daifuku) เป็นโมจิไส้ลูกสตรอร์เบอร์รี่หอมหวาน อร่อยจับใจ นอกจากนั้นยังมีไส้เมลอนบดและไอศกรีมรสต่างๆด้วย
ขนมที่ชื่อว่า ไดฟุกุ เป็นขนมแป้งนิ่มๆ ที่มีใส้อยู่ข้างใน แต่ชื่อไดฟุกุนั้นแปลตรงตัวก็จะแปลว่า มีความสุขมากๆ นับเป็นขนมชื่อมงคลแบบญี่ปุ่นๆ คนที่เคยได้ลองชิมขนมนี้ก็จะรู้ว่ากัดเข้าไปแล้ว มีความสุขมากแค่ไหน ระหว่างที่กัดแป้งเย็นๆ ลื่นๆ คอ เคี้ยวๆ ผสมกับใส้้ข้างในหวานชื่นลิ้น
วัตถุดิบ1. แป้ง 250 กรัม
2. แบะแซ 425 กรัม
3. น้ำ 175 กรัม
4. เนยขาว 75 กรัม
5. แป้งเค้ก 1/2 ช.ต (แต่พอทำแล้วคิดว่าน้ำเปล่ามากไป น่าจะลดลงเหลือแค่ 150 กรัม และเนยขาวควรลดเหลือ 60 กรัม)
วิธีทำ
1 เทแป้งลงในอางผสม พักไว้
2.ต้มแบะแซ และเนยขาว 7-5กรัมแบ่งไว้ครึ่งหนึ่ง ให้ละลาย เติมส่วนผสมลงในอ่างผสม ผสมให้เข้ากันกับแป้งใช้หัวตีใบไม้ ด้วยความเร้วต่ำ
3.เอาเนยขาวที่เหลืออีกครึ่งผสมต่อจนเข้ากันดี
4.นำมาแบ่งก้อนละ 30กรัม และใส่ใส้ ปั่นขึ้นรูปต่างๆๆได้

เที่ยวญี่ปุ่น : 3.อลังการงานสร้าง ณ ปราสาทฮิเมจิ



เกียวโต (Kyoto)
เกียวโต นครแห่งนี้เป็นเมืองหลวงและที่ประทับของจักรพรรดิญี่ปุ่นมาเกือบ 1,100 ปี จำลองแบบจากนครฉางอันเป็นเมืองหลวงของจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ปัจจุบันคือเมืองซีอาน โดยผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีถนนตัดกันเป็นรูปตารางและยังคงปรากฎหลักฐานมาจนถึงปัจจุบัน เกียวโตคือสัญญลักษณ์ความเป็นประเพณีนิยมของญี่ปุ่น เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่เก็บรักษาศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นไว้ เป็นเมืองใหญ่อันดับ 7 ของญี่ปุ่น มีจำนวนประชากร 1,400,000 คน




ถ้าคุณจะเริ่มเที่ยวที่เกียวโต นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมนั่งรถไฟชินคังเซ็นจากโตเกียวมาลงที่สถานีเกียวโต (Kyoto Station) ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสามชั่วโมง เมื่อเดินออกมาจากสถานีรถไฟ ก็จะได้เห็นสภาพเมืองเกียวโตแออัดจอแจเหมือนเมืองทั่วไปในญี่ปุ่น ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวจะซ่อนตัวอยู่รายรอบด้านนอกกำแพงเมืองเก่าและตามถนนสายแคบ แม้ความเจริญทันสมัยจะรุกล้ำอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังพบเห็นบ้านเรือนแบบเก่ามากมายตามตรอกแคบๆจากตะวันออกของสถานีเกียวโต เมื่อเดินข้ามแม่น้ำคาโมงาวะมา ก็จะพบวัดซังจูซังเง็นโด (Sanjusangen-do) ซึ่งใช้เป็นฉากถ่ายภาพกีฬายิงธนูบ่อยๆ วัดนี้จัดงานเทศกาลยิงธนูอันโด่งดังในวันที่ 15 มกราคมของทุกปี หลังคาวิหารมีความยาว 60 เมตร รองรับด้วยเสา 33 ต้น ผนังระหว่างเสามีซุ้มเว้าเข้าไป 33 ซุ้ม ภายในวิหารประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมพันกร พร้อมเหล่าสาวกอีกหนึ่งพัน ซึ่งมีใบหน้าที่แตกต่างกันออกไปหากเดินขึ้นไปตามเนิน ซึ่งอยู่บนถนนฮิงาชิโดริทางด้านทิศตะวันออก ก็จะพบกับ คิโยมิซุเดระ (Kiyomizu-dera) วัดซึ่งมีวิหารใหญ่ตั้งอยู่บนไหล่เขา รองรับด้วยเสาไม้มหึมา โดยระเบียงอันเป็นเวทีร่ายรำนั้นยื่นชะโงกเหนือหุบเหว วัดนี้มีอายุเก่าแก่กว่านครเกียวโต สร้างในปี ค.ศ. 788 ถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม 11 พักตร์ ด้านหลังวิหารใหญ่คือศาลเจ้าจิชู (Jishu) ซี่งเป็นศาลที่รู้จักกันดีที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นที่ประทับของเทพเจ้าแห่งความรักและความราบรื่นในชีวิตสมรส ที่ศาลเจ้านี้มีหินตาบอด (เมกูระอิชิ) ซึ่งห้ามเดินข้ามแต่ถ้าสาวๆจะเดินผ่านก้อนหินที่ขนาบสองข้างนั้นต้องหลับตา เชื่อกันว่าถ้าสามารถเดินท่องชื่อคนรักในใจไปได้ไกลถึง 20 เมตรแล้ว ความรักและชีวิตคู่ก็จะไปได้ตลอดรอดฝั่ง...อย่างนี้ก็ต้องลองไปพิสูจน์กันแล้วล่ะค่ะ ศาลเจ้าอีกแห่งหนึ่งที่จะแนะนำคือ ยาซากะจินจะ (Yasaka-jinja) หรือมีอีกชื่อว่า งิอนซัง (Gion-san) เนื่องจากอยู่ใกล้ย่านงิอน มีซุ้มประตูสร้างด้วยหินแกรนิตสูง 9 เมตร จัดเป็นซุ้มประตูที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ทางด้านหลังของศาลมีทางออกสู่สวนสาธารณะมารุยามะโคเอ็น ความงามของสวนและความตระการตาของซากุระช่วงต้นเมษายนของที่นี่เป็นที่รู้จักกันดีเมื่อข้ามถนนซันโจโดริ (Sanjo Dori) แล้วเดินขึ้นไปทางเหนือก็จะพบกับประตูทาสีชาดของเฮอันจิงงุ (Heian-jingu) ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1895 เพื่อเป็นอนุสรณ์ครบรอบปีที่ 1100 ของเกียวโต โดยอุทิศถวานแด่สมเด็จพระจักรพรรดิองค์แรกและองค์สุดท้ายของนครแห่งนี้ แบบจำลองมาจากพระราชวังอิมพีเรียลองค์เดิม มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบสมัยเฮอัน ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลจากจีนสูงที่สุดเมื่อเดินจากเฮอันจิงงุไปทางตะวันออกเล็กน้อยคุณก็จะถึงวัดนันเซนจิ (Nanzenji) ซึ่งเป็นวัดเซนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเกียวโตด้วย ภายในอารามประกอบด้วยโบสถ์กลาง และโบสถ์เล็ก 12 แห่ง โดยเปิดให้เข้าชมเพียง 4 แห่ง ภายในวัดคุณก็จะสัมผัสได้ถึงปรัชญาแห่งเซน เนื่องจากความกลมกลืนของหมู่สนกับสถาปัตยกรรมวัด ศิลปะการจัดสวนอย่างลงตัว สิ่งเหล่านี้โน้มใจผู้มองให้คล้อยตาม และมรคาแห่งปราชญ์ก็มาสิ้นสุดที่วัดงิงคะกูจิ (Ginkakuji) หรือวัดศาลาเงิน









ซึ่งสร้างในปี 1489 โดยโชกุนอาชิคางะเอระ ชั้นแรกของวิหารใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีลักษณะแบบชินเด็น ส่วนชั้นที่สองเป็นห้องบูชา เป็นพุทธศิบป์แบบจีน ภายในสวนมีเนินหินสีขาว สร้างขึ้นเพื่อให้จันทร์สะท้อนแสงอาบไล้ทั่วบริเวณ ตรงปีกตะวันออกเฉียงเหนือของวิหารก็จะได้พบกับห้องชงชาโบราณซึ่งจัดว่าเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นปราสาทนิโจโจ (Nijo-jo) เริ่มสร้างโดยเจ้าเมืองโอดะ โนบุนางะ ในปี 1569 โชกุนโทกุงาวะ อิเอยะสุ ผู้เป็นมิตรได้สานต่อจนสำเร็จ ปราสาทแห่งนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงหินโอ่อ่า และห้องโถงสำหรับเจ้าเมืองเข้าเฝ้าโชกุนตกแต่งด้วยทองหรูหราสะท้อนถึงอำนาจโชกุนในสมัยเอโดะ ภายในปราสาทมีวังนิโนมารุ กระดานระเบียงเชื่อมหมู่อาคารของวังเป็นพื้น "นกไนติงเกล" เวลาเดินเหยียบพื้นจะมีเสียงดังเหมือนเสียงนกนี้หากเดินไปทางทิศตะวันตกตามถนนคิตะโอจิโดริ (Kitaoji Dori) ก็จะผ่านสวนสาธารณะฟุนาโอกะยามะโคเอ็น เพื่อไปยังวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji-วัดศาลาทอง) ซึ่งรู้จักกันดีที่สุดในเกียวโต วิหารหุ้มด้วยทองคำมี 3 ชั้น โดยชั้นแรกมีลักษณะเป็นพระราชวัง ชั้นที่สองเป็นแบบบ้านซามูไร ส่วนชั้นที่สามเป็นแบบวัดเซน วัดแห่งนี้ล้อมรอบด้วยสระน้ำกว้างใหญ่ โอบล้อมด้วยแมกไม้ จึงมีทัศนียภาพที่งดงามยิ่งวัดเรียวอันจิ (Ryoan-ji) ที่นี่มีสวนหินแบบเซนที่เรียกกันว่า คาเระซันซุย ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก สวนแห่งนี้คือภาพแอ็บสแตร็กซึ่งวาดด้วยโขดหินแทนน้ำหมึก หิน 15 ก้อน (มีก้อนหนึ่งซึ่งเราไม่มีวันมองเห็นได้ด้วยตา) บนผืนกรวดนั้นไม่มีใครหยั่งรู้ความหมายที่แท้จริงของมัน ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆนานา หากมานั่งที่ระเบียงแล้วปล่อยใจให้ว่าง ความแห้งแล้งของภาพเบื้องหน้าจะนำพาความเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุดมาสู่คุณ กล่าวกันว่าเป็นการยกระดับจิตเข้าสู่ภาวะแห่งเซนย่านเก่ากิอน (Gion) เป็นย่านเริงรมย์หรือถิ่นเกอิชาชื่อกระฉ่อนของเกียวโต ในเกียวโตเรียกเกอิชาว่า "ไมโกะ หรือ เกโกะ" สมัยโบราณคำว่าเกอิชาในเมืองเกียวโตหมายถึงผู้ให้ความบันเทิงซึ่งเป็นชายแต่แต่งกายเป็นหญิง แต่ในเมืองโตเกียวและโอซาก้าคำนี้หมายถึงผู้ให้ความบันเทิงที่เป็นหญิง ไมโกะเป็นเด็กรุ่นสาวอายุราว 16 ปี ตรงเอวรัดผ้าแถบยาวเรียก โอบิ (obi) อันเป็นลักษณะเฉพาะ พออายุได้ 21 ปีก็ขยับฐานะไปเป็นเกโกะ แต่งชุดกิโมโนประดับประดา