วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Friends : ความหมายของคําว่า "เพื่อน"


เพื่อนคือ...ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ยิ่งกว่าแฟนก้อว่าได้ ไม่ตามใจมัน ก็ไม่ด่า แต่ถ้ามันไม่ตามใจเราก็ด่าได้ โดยที่มัน และเราไม่โกรธกัน เพื่อนเมื่อโกรธกันสามารถกลับมาคืนดีกันได้โดยไม่ต้องเก็บความสงสัยว่า เรื่องที่โกรธกันคืออะไร ผ่านแล้วก็ผ่านไป เพื่อนคือที่พึ่งยามเป็นทุกข์ เพื่อนคือที่ปรึกษา ตั้งแต่เรียน ทำงาน จนจะแต่งงานก็ยังต้องปรึกษามัน เพื่อนคอยสับรางเวลารถไฟจะชน เพื่อนคอยโกหกพ่อแม่เวลาไปเที่ยวแต่บอกว่าไปทำงาน เพื่อนคอยบอกแฟนว่าเรากำลังอยู่กับมัน ทั้งที่จริงเราไม่ได้อยู่กับมันหรอก และเพื่อนก็คือคนจ่ายค่าข้าวเวลาเราไม่มีเงิน "เพื่อน" คือ ทุกอย่าง มีผู้....ที่เคยคบกันถามว่าจะให้เลือกหนึ่งเดียว ระหว่างเค้าซึ่งคบกันมา 1 ปี กับเพื่อนซึ่งคบมาประมาณ 15 ปี ว่าคุณจะเลือกใคร ตอบแบบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า "เพื่อน" ซึ่งเค้าก็บอกว่าตอบผิดตอบใหม่ได้นะ เราก็บอกว่าตอบถูกแล้ว เพราะเค้าเห็นว่าเรารักเพื่อนมากกว่า แต่ไม่ใช่ ถัาเราจะต้องเอาคนเข้ามาในชีวิตอีก 1 คน ซึ่งก็ยังไม่รู้อะไรกันมาก กับเสียคนที่เรารู้จกกันมาเป็น 10 ปี เราว่าทุกคนก็ต้องมีคำตอบเหมือนกับเรา เพราะทั้งสำหรับคนทั้งสองกลุ่ม เราไม่สามารถเอาแต่ละคนมาบวกและลบกันเพื่อให้ผลลัพธ์เป็นศูนย์ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเลือกสิ่งที่มีค่ามากกว่า และสิ่งที่เราเลือก สิ่งนั้นก็คือ *****""เพื่อน""**** " some time happy… some time sad… but all time friend " บทส่งท้าย ถ้าเราสนุก ไปเที่ยวโดยไม่มีเพื่อน แล้วเล่าให้มันฟัง มันก็ไม่ว่าอะไร....แล้วถ้าเราเที่ยวแล้วเกิดปัญหา เราตามตัวมันมา มันเคยพูดไหมว่า "*ไม่สน*เที่ยวแล้วไม่ชวน* *แก้ไขเองแล้วกัน" คำพูดอย่างนี่จะไม่มีจากปากเพื่อน จะแต่ว่า " อยู่ตรงไหน เป็นอะไร" แล้วก็ลงท้ายว่า *จะรีบไป

ความรัก กับ ต้นหญ้า...


ความรัก กับ ต้นหญ้า... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ...มีครูกับลูกศิษย์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งใกล้กั บสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ ทันใดนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งก้อถามขึ้นมาว่า

ลูกศิษย์ : อาจารย์คับ ผมสงสัยจังเลยว่า เราจะหาคู่แท้เราเจอได้ไงคับ อาจารย์บอกผมหน่อยได้ไหม คับ?


อาจารย์ : (เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตอบ) อืม มันเป็นคำถามที่ยากนะ ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถาม ที่ง่ายเหมือนกันนะ ลูกศิษย์ : (นั่งคิดอย่างหนัก) อืม?....งงอะไม่เข้าใจ


อาจารย์ : โอเค งั้น เธอลองมองไปทางนั้นนะ ตรงนั้นน่ะ มีหญ้าเยอะแยะ เลยใช่ไหม เธอลองเดิน ไปหาหญ้าต้นที่สวยที่สุด แล้วเด็ดมาให้ครูสิ ต้นเดียวเท่านั้นนะ แต่ว่า เวลาเธอเดินเนี่ย เธอต้องเดินไป ข้างหน้าอย่างเดียวนะ ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจไหม


ลูกศิษย์ : ได้เลยครับ จาน รอสักครูน่ะครับ (ว่าแล้ว ก้อวิ่งตรงไปยังสนามหญ้า) หลังจากนั้นไม่นาน....

ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับจาน อาจารย์ : อืม...แต่ทำไมครูไม่เห็นต้นหญ้าสวย ๆ ในมือเธอเลยหละ

ลูกศิษย์ : อ๋อ คืองี้ครับจาน ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวย ๆ เนี่ย ผมก้อก้อคิดว่า เออ เดี๋ยว ก้อคงเจอต้นที่สวยกว่านี้ ดังนั้นผมก็เลยไม่เด็ดมัน แล้วผมก็เดินไปเรื่อย รู้ตัวอีกที มันก็สุดสนามหญ้าแล้ว ครับ จะเดินกลับก้อไม่ได้ เพราะจานสั่งห้ามไว้


อาจารย์ : นั่นแหละ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงหละ ... เรื่องนี้ต้องการที่จะสื่ออะไรกับเรา ต้นหญ้า ก็คือ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ ต้นหญ้าที่สวยงาม ก็คือ คนที่คุณชอบ หรือคนที่ดึงดูดคุณนั่นแหละ ส่วนทุ่งหญ้า ก็คือ เวลา ... เวลาที่คุณจะหาคู่แท้ของคุณ อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ แล้ว คิดว่า คงจะมีที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าคุณ มัวแต่ เปรียบเทียบ คุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่าลืมว่า..."เวลาไม่เคยย้อนกลับ" ไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้น เรื่องนี้ ยังสามารถใช้ได้กับ การหาคนที่จะมาทำงานร่วมกับคุในชีวิต หรือ แม้กระทั่งงานที่เหมาะสมกับคุณ ดังนั้น มันจึงเป็นสัจธรรม ที่ว่า ..."จงรัก และ ไขว่คว้า โอกาสที่คุณมีในขณะนี้ อย่ามัวแต่เสียเวลา บางครั้งคนเราก็มีโอกาสเลือกแค่ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น..."

“เทศกาลฤดูหนาว” ในประเทศญี่ปุ่น



ญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาวมีงานเทศกาลให้เที่ยวชมกันหลากหลายเทศกาล ได้แก่
Hakodate Illumination Fantasy, Hokkaido
ต้นไม้ที่เรียงรายเป็นแถวตามสองฟากฝั่งของถนนซึ่งเป็นเนินลาดเอียง 3 ระดับ ในเมือง Hakodate จะถูกประดับประดาไฟอย่างสวยงามในช่วงฤดูหนาว นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นเนินที่มีบรรยากาศแสนโรแมนติกเพื่อชมวิวของเมือง Hakodate จากมุมสูงได้








งานนี้จัดขึ้นตั้งวันที่ 1-14 กุมภาพันธ์ 2008 ย่านดาวน์ทาวน์เมือง
Hakodate Kamakura Festival
Kamakura Festival จัดขึ้นทุกปีที่เมือง Yokote จังหวัด Akita ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น งานเทศกาลนี้มีอายุเก่าแก่ถึง 400 ปี ความเป็นมาของงานเทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อขอบคุณเทพเจ้าแห่งน้ำและสวดอ้อนวอนเพื่อให้มีน้ำที่ใสสะอาดและอุดมสมบูรณ์ มีการเซ่นไหว้เหล้าสาเกและขนมโมจิแด่เทพยดา เมื่อนักท่องเที่ยวเดินผ่านกระท่อมน้ำแข็งซึ่งมีอยู่กว่า 100 กระท่อม จะได้รับการเชิญชวนจากเด็กๆ ด้วยภาษา
ท้องถิ่นของจังหวัด Akita เพื่อเชิญชวนให้เข้ามากินขนมโมจิ ซึ่งย่างภายในกระท่อมกับเหล้าสาเก
นอกจากความสนุกสนานในกระท่อมน้ำแข็งแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถชมความงามที่เกิดจากการจุดเทียนในโคม ไฟเล็กๆ ที่ทำขึ้นจากหิมะ ซึ่งแสงเทียนจากโคมหิมะจะปรากฏแสงแวววาวสะท้อนความงดงามของหิมะ สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างยิ่ง

งานนี้จัดขึ้นที่เมือง Yokote อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัด Akita ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2008
การเดินทาง จากสถานี Akita นั่งรถไฟ JR สาย
OU line ไปลงที่สถานีรถไฟ JR Yokote จากสถานีนี้จะมี Shuttle Bus บริการ
Chitose Shikotsuko Hyoto Matsuri
ในฤดูหนาวทะเลสาบ Shikotsuko จะกลายเป็นน้ำแข็งและจะมีการแกะสลักน้ำแข็งบนทะเลสาบพร้อมทั้งประดับประดาไฟสวยงามจนถึงเวลา 22.00 น. ทุกวันในช่วงเทศกาล นักท่องเที่ยวสามารถชมสีสันสวยงามของโคมไฟน้ำแข็งได้ทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การแสดงบนเวที การแข่งขันตัดน้ำแข็ง และการแสดงดอกไม้ไฟ
งานนี้จัดขึ้นที่ Shikotsuko Onsen, เมือง Chitose, Hokkaido ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม ถึง 17 กุมภาพันธ์ 2008
Frozen Hirayu Grand Waterfall Festival
เทศกาลที่มีการประดับตกแต่งไฟและแสงสีที่น้ำตกขนาดใหญ่ซึ่งได้กลายเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว มีความสูงถึง 64 เมตร และกว้าง 6 เมตร ความสวยงามของสายน้ำที่จับกันเป็นกลุ่มก้อนตั้งแต่ด้านบนลงมา เมื่อกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว มีลักษณะที่เปล่งประกายสวยงาม หาดูได้ยากยิ่ง

รักสุดท้ายของนายไฮโซ A Millionaire’s First Love


.FadingTooltip { BORDER-RIGHT: darkgray 1px outset; BORDER-TOP: darkgray 1px outset; BORDER-LEFT: darkgray 1px outset; BORDER-BOTTOM: darkgray 1px outset; BACKGROUND-COLOR: white;}
รักสุดท้ายของนายไฮโซ A Millionaire’s First Love

เรื่องย่อ :
รักสุดท้ายของนายไฮโซ A Millionaire’s First Love : เรื่องราวของ แจ คยอง (ฮยองบิน) เด็กหนุ่มลูกเศรษฐีที่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจและไม่ค่อยเอางานเอาการ ตอนนี้เขาเรียนอยู่ปีสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมแล้วแต่ก็นานๆ ทีถึงจะโผล่เข้าห้องเรียนสักครั้ง ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มีความอยากเรียนแต่เป็นเพราะเขารู้ตัวว่าไม่จำเป็น ที่จะต้องมาคร่ำเคร่งเรียนให้หนักต่างหาก และในวันเกิดครบสิบเก้าปีของเขา แจ คยอง ก็จะกลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว ซึ่งก็ต้องขอบคุณปู่ของเขาที่ทิ้งมรดกไว้ให้ แต่ก่อนจะถึงวันที่เขาจะได้เป็นมหาเศรษฐีนั้น ทนายประจำตระกูลก็ได้ค้นพบเงื่อนไขที่ซ่อนไว้ในพินัยกรรม นั่นก็คือ แจ คยอง จะได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปครอบครองก็ต่อเมื่อเขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนโบรัมเท่านั้น... โรงเรียนโบรัมมันอยู่ที่ไหนกันล่ะนี่....
โบรัมเป็นเพียงเมืองชนบทแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากชีวิตอันสะดวกสบายของแจ คยอง มากโข และเด็กหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมก็ ไม่มีทางเลือกนอกจากจำใจย้ายไปสู่สังคมชนบทเล็กๆแห่งนี้ ที่ซึ่งแม้แต่บัตรเครดิตของเขาก็ใช้ไม่ได้และเขายังไม่สามารถขับรถสปอร์ต ของเขาได้อีกด้วย แต่ท่ามกลางคนบ้านนอกหลังเขาเหล่านี้ แจ คยอง ก็ได้พบกับเด็กสาวที่ชื่อ อุน ฮวาน (ลี ยอง ฮี) ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่ แจ คยอง สามารถมองเห็นถึงความแตกต่างบางอย่าง...ที่พิเศษ...บางอย่างซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจให้เขายอมเปลี่ยนแปลงความเห็นแก่ตัว ความยโส และกลายเป็นคนที่มีนิสัยดีกว่านี้ แต่ว่า... มันยังมีเรื่องราวต่อจากนี้อีก


ขนมไดฟุกุ



คนไทยเราชอบเรียกว่าโมจิไส้ถั่วแดง แต่จริงๆเขาเรียกขนมประเภทนี้ว่า ไดฟุกุ แป้งด้านนอกทำจากแป้งข้าวเหนียวนึ่งที่นำมาตีจนเหนียว (โมจิ) มีสีขาว เขียวและชมพู ส่วนไส้ก็เป็นถั่วแดง ที่พิเศษก็จะใส่ผลไม้ลงไป เช่น อิจิโกะ ไดฟุกุ (Ichigo Daifuku) เป็นโมจิไส้ลูกสตรอร์เบอร์รี่หอมหวาน อร่อยจับใจ นอกจากนั้นยังมีไส้เมลอนบดและไอศกรีมรสต่างๆด้วย
ขนมที่ชื่อว่า ไดฟุกุ เป็นขนมแป้งนิ่มๆ ที่มีใส้อยู่ข้างใน แต่ชื่อไดฟุกุนั้นแปลตรงตัวก็จะแปลว่า มีความสุขมากๆ นับเป็นขนมชื่อมงคลแบบญี่ปุ่นๆ คนที่เคยได้ลองชิมขนมนี้ก็จะรู้ว่ากัดเข้าไปแล้ว มีความสุขมากแค่ไหน ระหว่างที่กัดแป้งเย็นๆ ลื่นๆ คอ เคี้ยวๆ ผสมกับใส้้ข้างในหวานชื่นลิ้น
วัตถุดิบ1. แป้ง 250 กรัม
2. แบะแซ 425 กรัม
3. น้ำ 175 กรัม
4. เนยขาว 75 กรัม
5. แป้งเค้ก 1/2 ช.ต (แต่พอทำแล้วคิดว่าน้ำเปล่ามากไป น่าจะลดลงเหลือแค่ 150 กรัม และเนยขาวควรลดเหลือ 60 กรัม)
วิธีทำ
1 เทแป้งลงในอางผสม พักไว้
2.ต้มแบะแซ และเนยขาว 7-5กรัมแบ่งไว้ครึ่งหนึ่ง ให้ละลาย เติมส่วนผสมลงในอ่างผสม ผสมให้เข้ากันกับแป้งใช้หัวตีใบไม้ ด้วยความเร้วต่ำ
3.เอาเนยขาวที่เหลืออีกครึ่งผสมต่อจนเข้ากันดี
4.นำมาแบ่งก้อนละ 30กรัม และใส่ใส้ ปั่นขึ้นรูปต่างๆๆได้

เที่ยวญี่ปุ่น : 3.อลังการงานสร้าง ณ ปราสาทฮิเมจิ



เกียวโต (Kyoto)
เกียวโต นครแห่งนี้เป็นเมืองหลวงและที่ประทับของจักรพรรดิญี่ปุ่นมาเกือบ 1,100 ปี จำลองแบบจากนครฉางอันเป็นเมืองหลวงของจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ปัจจุบันคือเมืองซีอาน โดยผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีถนนตัดกันเป็นรูปตารางและยังคงปรากฎหลักฐานมาจนถึงปัจจุบัน เกียวโตคือสัญญลักษณ์ความเป็นประเพณีนิยมของญี่ปุ่น เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่เก็บรักษาศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นไว้ เป็นเมืองใหญ่อันดับ 7 ของญี่ปุ่น มีจำนวนประชากร 1,400,000 คน




ถ้าคุณจะเริ่มเที่ยวที่เกียวโต นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมนั่งรถไฟชินคังเซ็นจากโตเกียวมาลงที่สถานีเกียวโต (Kyoto Station) ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสามชั่วโมง เมื่อเดินออกมาจากสถานีรถไฟ ก็จะได้เห็นสภาพเมืองเกียวโตแออัดจอแจเหมือนเมืองทั่วไปในญี่ปุ่น ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวจะซ่อนตัวอยู่รายรอบด้านนอกกำแพงเมืองเก่าและตามถนนสายแคบ แม้ความเจริญทันสมัยจะรุกล้ำอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังพบเห็นบ้านเรือนแบบเก่ามากมายตามตรอกแคบๆจากตะวันออกของสถานีเกียวโต เมื่อเดินข้ามแม่น้ำคาโมงาวะมา ก็จะพบวัดซังจูซังเง็นโด (Sanjusangen-do) ซึ่งใช้เป็นฉากถ่ายภาพกีฬายิงธนูบ่อยๆ วัดนี้จัดงานเทศกาลยิงธนูอันโด่งดังในวันที่ 15 มกราคมของทุกปี หลังคาวิหารมีความยาว 60 เมตร รองรับด้วยเสา 33 ต้น ผนังระหว่างเสามีซุ้มเว้าเข้าไป 33 ซุ้ม ภายในวิหารประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมพันกร พร้อมเหล่าสาวกอีกหนึ่งพัน ซึ่งมีใบหน้าที่แตกต่างกันออกไปหากเดินขึ้นไปตามเนิน ซึ่งอยู่บนถนนฮิงาชิโดริทางด้านทิศตะวันออก ก็จะพบกับ คิโยมิซุเดระ (Kiyomizu-dera) วัดซึ่งมีวิหารใหญ่ตั้งอยู่บนไหล่เขา รองรับด้วยเสาไม้มหึมา โดยระเบียงอันเป็นเวทีร่ายรำนั้นยื่นชะโงกเหนือหุบเหว วัดนี้มีอายุเก่าแก่กว่านครเกียวโต สร้างในปี ค.ศ. 788 ถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม 11 พักตร์ ด้านหลังวิหารใหญ่คือศาลเจ้าจิชู (Jishu) ซี่งเป็นศาลที่รู้จักกันดีที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นที่ประทับของเทพเจ้าแห่งความรักและความราบรื่นในชีวิตสมรส ที่ศาลเจ้านี้มีหินตาบอด (เมกูระอิชิ) ซึ่งห้ามเดินข้ามแต่ถ้าสาวๆจะเดินผ่านก้อนหินที่ขนาบสองข้างนั้นต้องหลับตา เชื่อกันว่าถ้าสามารถเดินท่องชื่อคนรักในใจไปได้ไกลถึง 20 เมตรแล้ว ความรักและชีวิตคู่ก็จะไปได้ตลอดรอดฝั่ง...อย่างนี้ก็ต้องลองไปพิสูจน์กันแล้วล่ะค่ะ ศาลเจ้าอีกแห่งหนึ่งที่จะแนะนำคือ ยาซากะจินจะ (Yasaka-jinja) หรือมีอีกชื่อว่า งิอนซัง (Gion-san) เนื่องจากอยู่ใกล้ย่านงิอน มีซุ้มประตูสร้างด้วยหินแกรนิตสูง 9 เมตร จัดเป็นซุ้มประตูที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ทางด้านหลังของศาลมีทางออกสู่สวนสาธารณะมารุยามะโคเอ็น ความงามของสวนและความตระการตาของซากุระช่วงต้นเมษายนของที่นี่เป็นที่รู้จักกันดีเมื่อข้ามถนนซันโจโดริ (Sanjo Dori) แล้วเดินขึ้นไปทางเหนือก็จะพบกับประตูทาสีชาดของเฮอันจิงงุ (Heian-jingu) ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1895 เพื่อเป็นอนุสรณ์ครบรอบปีที่ 1100 ของเกียวโต โดยอุทิศถวานแด่สมเด็จพระจักรพรรดิองค์แรกและองค์สุดท้ายของนครแห่งนี้ แบบจำลองมาจากพระราชวังอิมพีเรียลองค์เดิม มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบสมัยเฮอัน ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลจากจีนสูงที่สุดเมื่อเดินจากเฮอันจิงงุไปทางตะวันออกเล็กน้อยคุณก็จะถึงวัดนันเซนจิ (Nanzenji) ซึ่งเป็นวัดเซนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเกียวโตด้วย ภายในอารามประกอบด้วยโบสถ์กลาง และโบสถ์เล็ก 12 แห่ง โดยเปิดให้เข้าชมเพียง 4 แห่ง ภายในวัดคุณก็จะสัมผัสได้ถึงปรัชญาแห่งเซน เนื่องจากความกลมกลืนของหมู่สนกับสถาปัตยกรรมวัด ศิลปะการจัดสวนอย่างลงตัว สิ่งเหล่านี้โน้มใจผู้มองให้คล้อยตาม และมรคาแห่งปราชญ์ก็มาสิ้นสุดที่วัดงิงคะกูจิ (Ginkakuji) หรือวัดศาลาเงิน









ซึ่งสร้างในปี 1489 โดยโชกุนอาชิคางะเอระ ชั้นแรกของวิหารใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีลักษณะแบบชินเด็น ส่วนชั้นที่สองเป็นห้องบูชา เป็นพุทธศิบป์แบบจีน ภายในสวนมีเนินหินสีขาว สร้างขึ้นเพื่อให้จันทร์สะท้อนแสงอาบไล้ทั่วบริเวณ ตรงปีกตะวันออกเฉียงเหนือของวิหารก็จะได้พบกับห้องชงชาโบราณซึ่งจัดว่าเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นปราสาทนิโจโจ (Nijo-jo) เริ่มสร้างโดยเจ้าเมืองโอดะ โนบุนางะ ในปี 1569 โชกุนโทกุงาวะ อิเอยะสุ ผู้เป็นมิตรได้สานต่อจนสำเร็จ ปราสาทแห่งนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงหินโอ่อ่า และห้องโถงสำหรับเจ้าเมืองเข้าเฝ้าโชกุนตกแต่งด้วยทองหรูหราสะท้อนถึงอำนาจโชกุนในสมัยเอโดะ ภายในปราสาทมีวังนิโนมารุ กระดานระเบียงเชื่อมหมู่อาคารของวังเป็นพื้น "นกไนติงเกล" เวลาเดินเหยียบพื้นจะมีเสียงดังเหมือนเสียงนกนี้หากเดินไปทางทิศตะวันตกตามถนนคิตะโอจิโดริ (Kitaoji Dori) ก็จะผ่านสวนสาธารณะฟุนาโอกะยามะโคเอ็น เพื่อไปยังวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji-วัดศาลาทอง) ซึ่งรู้จักกันดีที่สุดในเกียวโต วิหารหุ้มด้วยทองคำมี 3 ชั้น โดยชั้นแรกมีลักษณะเป็นพระราชวัง ชั้นที่สองเป็นแบบบ้านซามูไร ส่วนชั้นที่สามเป็นแบบวัดเซน วัดแห่งนี้ล้อมรอบด้วยสระน้ำกว้างใหญ่ โอบล้อมด้วยแมกไม้ จึงมีทัศนียภาพที่งดงามยิ่งวัดเรียวอันจิ (Ryoan-ji) ที่นี่มีสวนหินแบบเซนที่เรียกกันว่า คาเระซันซุย ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก สวนแห่งนี้คือภาพแอ็บสแตร็กซึ่งวาดด้วยโขดหินแทนน้ำหมึก หิน 15 ก้อน (มีก้อนหนึ่งซึ่งเราไม่มีวันมองเห็นได้ด้วยตา) บนผืนกรวดนั้นไม่มีใครหยั่งรู้ความหมายที่แท้จริงของมัน ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆนานา หากมานั่งที่ระเบียงแล้วปล่อยใจให้ว่าง ความแห้งแล้งของภาพเบื้องหน้าจะนำพาความเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุดมาสู่คุณ กล่าวกันว่าเป็นการยกระดับจิตเข้าสู่ภาวะแห่งเซนย่านเก่ากิอน (Gion) เป็นย่านเริงรมย์หรือถิ่นเกอิชาชื่อกระฉ่อนของเกียวโต ในเกียวโตเรียกเกอิชาว่า "ไมโกะ หรือ เกโกะ" สมัยโบราณคำว่าเกอิชาในเมืองเกียวโตหมายถึงผู้ให้ความบันเทิงซึ่งเป็นชายแต่แต่งกายเป็นหญิง แต่ในเมืองโตเกียวและโอซาก้าคำนี้หมายถึงผู้ให้ความบันเทิงที่เป็นหญิง ไมโกะเป็นเด็กรุ่นสาวอายุราว 16 ปี ตรงเอวรัดผ้าแถบยาวเรียก โอบิ (obi) อันเป็นลักษณะเฉพาะ พออายุได้ 21 ปีก็ขยับฐานะไปเป็นเกโกะ แต่งชุดกิโมโนประดับประดา

แฟชั่นญี่ปุ่น แฟชั่นวัยรุ่นญี่ปุ่น สีสันแห่ง Harajuku ฮาราจูกุ

ฮาราจูกุ (Harajooku) เป็นแหล่งรวมแฟชั่นทันสมัย เมื่อเดินเข้ามาบน Takeshita street ถนนช็อบปิ้งสุดฮิตของฮาราจูกุ จะพบกับวัยรุ่นที่แต่งตัวด้วยชุดอันร้อนแรงบวกกับสีสันอันเจิดจ้า นับว่าเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ที่วัยรุ่นจะนิยมแต่งตัวแรงๆ เพื่อมาประชันกัน คล้ายๆ กับสยามสแควร์บ้านเรา ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาที่นี้จะนิยมถ่ายรูปกับวัยรุ่นที่แต่งตัวแรงๆ เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งได้มาเหยียบมาฮาราจูกุแล้ว หากใครมาแล้ว ไม่พบวัยรุ่นที่แต่งตัวแรงๆ ก็เหมือนมาไม่ถึงฮาราจูกุ


Harajuku
ฮาราจูกุ เป็นชื่อที่ใช้เรียกกันทั่วไปของบริเวณรอบๆ สถานีฮาราจูกิในสาย Yamanote เขตชิบูนะของโตเกียว

คนส่วนมากมักรู้จักสถานที่นี้ว่าเป็นที่สำหรับเดินเที่ยวของเหล่าวัยรุ่นและเต็มไปด้วยร้านค้าเช่น Lafonet ซึ่งมีแบรนด์ทันสมัยมากมายสำหรับหนุ่มสาว แต่สถานที่ช้อปปิ้งหลัก คือที่ Saitama,Chiba และบริเวณรอบนอก
โตเกียว


Origin
ฮาราจูกุเริ่มมีชื่อเสียงในปี 1980 เนื่องจากมีนักแสดงตามท้องถนน จำนวนมากโดยเฉพาะวัยรุ่น ในวันอาทิตย์ พอถนน Omotrsando ถูกปิดลงเพราะการจราจร การเคลื่อนไหวนี้ได้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของจำนวผุ้ชื่อนชอบ Visual Kei และนักร้องแนวร็อค พังค์ ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น ทุกวันนี้ในวันอาทิตย์ก็จพพบสาวโกธิคโลลิต้ามากมาย เท่าๆกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาถ่ายรูปพวกเขา นักท่องเที่ยวบางคนรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นงานนิทรรศการที่ใหญ่โตของวัยรุ่นญี่ปุ่นซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เด่นสะดุดตาเอามากๆ

ใกล้กับสถานีรถไฟ มีวิหารสมัยเมจิซึ่งเป็นที่ๆมีชื่อเสียง ซึ่งจะมีคนจำนวนมากไปเยี่ยมเยือนทุกๆปี เหมือนกับ สวนสาธารณะโยโยกิ (Yoyogi park) ซึ่งใกล้กับถนนทาเคชิตะซึ่งเป็นถนนสายที่มีร้านขายของจุกจิกและสินค้าทุกชนิดสำหรับวัยรุ่น และถนนOmotrsando เป็นถนนสายยาวที่มีทั้งคาเฟ่และมีร้านขายของซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวมาก



Urahara backstreet Harajuku
ที่รู้จักกันในชื่อUra-hara เป็นที่รู้จักกันในสถานที่ๆขายเสื้อผ้าแฟชั่นทุกแบบ และเปิดรักสไตล์แฟชั่นจากทุกมุมโลก

ถนนนี้ถูกเรียกว่า ถนนแมว Cat-Street เพราะมักมีแมวข้ามถนนไปมาตลอด ถนนนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนในวันหยุด โดยเฉพาะวัยรุ่นซึ่งมาเดินเที่ยวกะน และจุดสังเกตในพื้นที่นี้คือ อาคารสำนักงานใหญ่ของNHK


Harajuku as an icon

ฮาราจูกุเป็นสัญลักษณ์ของสถานที่บันเทิงสุดนิยมแห่งหนึ่งของโลก ทั้งในและนอกญี่ปุ่น สาวๆในฮาราจูกุถูกเรียกว่า Star beauty of Japan

นักร้องอเมริกัน Gwen Stefani เกว็นสเตฟานี่ ได้พูดถึงฮาราจูกุในเพลงของเธอหลายเพลง และมีแดนเซอร์ 4 คนซึ่งแต่งกายเหมือนสาวอเมริกันกึ่งฮาราจูกุ มาเต้นเป็นแบ็คกราว และเพลงในอัลบั้มของเธอ Love.Angle.Music.Baby ยังมีไตเติ้ลชื่อว่า Harajuku Girls ด้วยและคำว่า(原宿)Harajuku ก็ยังปรากฏบนเวทีระหว่างมิวสิควีดีโอของเธอในเพลง Hollaback girl การนำเอามาใช้ของเธอนั้น เป็นสิ่งที่นักวิจารณ์ยอมรับเกี่ยวกับฮาราจูกุแฟชั่น ซึ่งได้มีการพูดถึงทั้งในเอเชียและอเมริกา ถึงความสอดคล้องของทัศนคติในกลุ่มสังคมที่ไม่มีวันสูญไปของผู้หญิงเอเชีย


Harajuku Media

นักร้องชาวสก็อตกลุ่มหนึ่งชื่อว่า Belle&sebastias มีกล่าวถึงฮาราจูกุในซิงเกิ้ล Im a Cuckee จากในอัลบั้ม Dear Catastrophe waitness

Winter-themed special edition ของ Takeshis Castle (รู้จักกันในชื่อ MXC ของอังกฤษ) และประกอบด้วยฉากที่สถานีรถไฟฮาราจูกุ
Joe Stummer(The Clash) มีเพลงชื่อ Sanposuru Harajuku (เดินเล่นผ่านฮาราจูกุ)

*นักร้องป๊อปที่รู้จักกันดี เกว็น สเตฟานี่ ก็ยังให้อัลบั้มของเธอมีแฟชั่นแนวฮาราจูกุเช้าไปด้วย เช่น เพลง Harajuku girls, What u waiting for และเพลง Rich Girls

ศิลปินดูโอของญี่ปุ่น Puffy AmiYumi ก็ได้พูดถึงฮาราจูกุในเพลง We aint no Harajuku girls ในแทร็ค Call me what u like(If u like Rock-N-Roll) จากอัลบั้ม Splurge
นักร้องญี่ปุ่น Matsumoto Hideto (松本秀人) (hide)ฮิเดะ กล่าวถึงฮาราจูกุในเพลง Icji,Ni,San,Juu,All the way from Harajuku ในแทร็ค Space Monkey punks from Japan จากอัลบั้มของเขา 3.2.1



.♥ .。*❤*。.・☆・.。~Hongo Kanata~。.・☆・.。*❤*。.★, Tenipuri Ojisama o(∩_∩)o


Name: 本郷奏多 Name (Romaji): Hongo KanataNick

Name: Nashi (นาชิแปลว่าสาลี่มั้งสมาชิกในบ้านบอกอิอิ) Kanata,Kabo (คาโบแปลว่าเจ้าหนูคาคุณย่าเรียกตอนเด็กๆแต่ไม่ชอบให้เรียกนะจ๊ะจะบอกหั๊ยฮุฮุ)

Age: 18
Profession: Actor
Date of birth: 1990 November 15
Birthplace: Sendai, Miyagi Prefectuer
Star sign: ScorpioBlood
Type: OHobbies/Specialties:
Baseball, Tennis, Swimming Others: He's a dog lover
Talent agency: Stardust TV SeriesSeigi no Mikata http://wiki.d-addicts.com/Seigi_no_Mikata_%282008%29 (NTV, 2008)



Luke Worrell น่าแบบหนุ่มน้อยที่ฮอทที่สุดในขณะนี้

Celebs, Kelly Osbourne with her boy Luke Worrell and the Prince of Dubai arriving at Mahiki in Mayfair for the New Years celebrations. Kelly was a guest DJ at the club.

document.write(localMDY('December 31, 2008 00:00'));
December 31, 2008 - Photo by Photo Agency)



Luke Worrell น่าแบบหนุ่มน่าตาดี อายุ18ย่าง19 แต่คิดว่าตอนนี้คงจะอายุ19แล้ว นายแบบที่บรรดาสาวๆชอบพูดถึงมากที่สุด เพราะความที่เค้าเป็นคนที่มีน่าตาน่ารักนั่นเอง เรียกว่า ทั้งหล่อ ทั้งน่ารักเลยก็ว่าได้ วันนี้เราได้นำภาพของแฟนสาวของหนุ่มLuke มาให้ชมกันด้วย เธอเป็นผู้หญิงผู้โชคดีที่มีคนเกลียดกันทั่วบ้านทั่วเมือง



Nationality
British
Birth Date
December 26, 1989
Status
Rising star
Known for
Hair, Style
Agencies
VNY Management
Dated
Kelly Osbourne (Since 08)
Friends
Cole Mohr, Nick Snider, Agyness Deyn, Carmen Kass, Taylor Fuchs, Tyler Riggs, Meghan Collison, Alice Dellal, Josh Beech, Eliza Cummings
Interests
Skateboarding




Luke Worrall's Career Highlights

26 DEC, 1989
Born in London, England
2007
Discovered while skateboarding in London
2007
Signs with Public Image Worldwide
AUG 2007
Lands first major cover, for Dazed & Confused
SEP 2007
Walks the spring Marc by Marc Jacobs show in New York
NOV 2007
Lands second cover for Dazed & Confused
NOV 2007
Featured as a rising star in i-D magazine
2007
Appears in French Vogue editorial
2008
Becomes the face of Topman and Marc by Marc Jacobs
2008
Begins to date Kelly Osbourne
JAN 2008
Steven Klein photographs Worrell alongside Hilary Swank for W and alongside Jessica Stam for V
29 JAN, 2008
Models.com features Worrell as “Cool Hand Luke" Story»
MAR 2008
Appears in Dazed & Confused editorial with Agyness Deyn
2008
Lands on the summer cover of Arena Homme +, photographed by Juergen Teller
JUN 2008
Appears in Qvest editorial, photographed by Robi Rodriguez
2008
Appears in the summer issue of Crash, photographed by Giuseppe Gasparin
AUG 2008
Appears in British Vogue editorial alongside Agyness Deyn, photographed by Tim Walker
AUG 2008
Appears in Dazed & Confused editorial, photographed by Mariano Vivianco
2008
Models for Barneys Co-Op fall catalog with Meghan Collison
2008
Joins Lisa Cant in Juicy Couture's fall ad campaign
2008
Becomes the face of Vivienne Westwood fall ad campaign
SEP 2008
Leaves Public Image Worldwide and signs with VNY Management
SEP 2008
Walks the spring Marc by Marc Jacobs, rag & bone, and Thom Browne shows in New York

การศึกษาพื้นฐาน” (Basic Education


การศึกษาพื้นฐาน Basic Education


ความหมายของการศึกษาพื้นฐาน


คำว่า “การศึกษาพื้นฐาน” (Basic Education) เป็นคำที่มีความหมายหลากหลาย ในสหรัฐอเมริกา การศึกษาพื้นฐานหมายถึง “การสอนให้มีทักษะในการสื่อสาร คิดคำนวณ และเข้าสังคม เพื่อให้บุคคลสามารถอ่านออกเขียนได้ คิดคำนวณเป็น สามารถค้นคว้าหาความรู้ต่อไปได้ รู้จักโลกแห่งการงาน หน่วยสวัสดิการสังคม ทำงานกับนายจ้างได้ รู้จักการบริโภคที่เหมาะสม รู้จักการปรับปรุงสุขภาพ” (Cartwright, 1970: 407) ตามความหมายนี้มุ่งถึงการศึกษาเบื้องต้นเป็นสำคัญ องค์การยูเนสโก ซึ่งเป็นศูนย์รวมของนานาชาติในด้านการศึกษา ได้ให้คำนิยามการศึกษาพื้นฐานไว้ว่า
“การศึกษาสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ให้มีโอกาสได้เรียนความรู้ทั่วไปที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต ปลูกฝังให้เกิดความอยากเรียนอยากรู้ มีทักษะในการเรียนด้วยตนเอง รู้จักถาม สังเกต วิเคราะห์ ตระหนักว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่น” (Edgar Faure, 1972: 162)
ในที่ประชุมโลกว่าด้วยการศึกษาเพื่อปวงชน (World Conference on Education for All : WCEFA) ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมจอมเทียนประเทศไทย เมื่อปี 1990 ที่ประชุมพอใจที่จะใช้คำว่า “การตอบสนองความต้องการทางการเรียนขั้นพื้นฐาน” (meeting basic learning needs” มากกว่าการใช้ชื่อ “การศึกษาพื้นฐาน” (Basic Education) อย่างไรก็ตามต่อๆมา คำว่า “ความต้องการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน” (basic learning needs) กับคำว่า “การศึกษาพื้นฐาน” ก็ได้มีการนำไปใช้แทนกันอยู่บ่อยๆในการประชุมครั้งนั้น ได้มีการให้นิยามศัพท์ 2 คำไว้ดังนี้--


ความต้องการการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน (Basic learning needs) หมายถึง ความรู้ ทักษะ เจตคติ และค่านิยมที่จำเป็นสำหรับบุคคลเพื่อความอยู่รอด ปรับปรุงคุณภาพชีวิตและการเรียนรู้ต่อเนื่อง
การศึกษาพื้นฐาน (Basic education) หมายถึง การศึกษาที่มุ่งให้ตอบสนองความต้องการทางการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงการเรียนการสอนในระดับต้น ซึ่งเป็นพื้นฐานให้แก่การเรียนรู้ขั้นต่อไป เช่นการศึกษาสำหรับเด็กวัยเริ่มต้น การศึกษาระดับประถม การสอนให้รู้หนังสือ ทักษะความรู้ทั่วไป ทักษะเพื่อการดำรงชีวิต สำหรับเยาวชนและผู้ใหญ่ ในบางประเทศ การศึกษาพื้นฐานยังขยายขอบเขตไปถึงระดับมัธยมด้วย
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า การศึกษาพื้นฐานมิได้หมายความจำกัดอยู่เฉพาะการศึกษาชั้นประ- ถมศึกษา ซึ่งเป็นการศึกษาชั้นต้นเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งบุคคลส่วนใหญ่มีโอกาสได้เข้าเรียนด้วย
แผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 ได้กล่าวไว้ในหมวดที่ 3 แนวนโยบายการศึกษาว่า “5. ให้การศึกษาระดับมัธยมศึกษาเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานของปวงชน รัฐพึงเร่งรัดและขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อปวงชนอย่างทั่วถึง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สูงขึ้น” ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่าทางราชการไทยได้ถือว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานมีขอบเขตครอบคลุมถึงการศึกษาระดับมัธยมด้วย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้ระบุไว้ว่า“มาตรา 43 บุคคล ย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้ทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย--” ซึ่งเป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานมีขอบเขตขยายถึงการศึกษาระดับมัธยมปลายซึ่งใช้เวลาเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาสิบสองปี
สรุปได้ว่า การศึกษาพื้นฐานตามความหมายของเอกสารนี้ เป็นการศึกษาที่จัดให้ตั้งแต่ระดับก่อนวัยเรียนไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ลักษณะการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และปัญาหาอุปสรรค
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเกี่ยวข้องกับนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถศึกษาจากเอกสาร ดังต่อไปนี้


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
.♣แผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535
.♣แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544)
.♣แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544)
.♣แผนพัฒนาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมในช่วงแผนพัฒนาฯระยะที่ 8 (พ.ศ. 2540 - 2544)
.♣พระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2523
พระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2478 และฉบับแก้ไข



Sky of love ทำให้คนญี่ปุ่นกว่า 20 ล้านคนต้องเสียน้ำตา

Sky of Love - รักเรานิรันดร

แนว : โรแมนติก ดราม่า

นำแสดง : มิอุระ ฮารุมะ, ยูอิ อารางาคิ, โคอิเดะ เคซึเกะ

กำกับ : นัตสึกิ อิมาอิ เรื่องย่อ

Sky of love (Koizora) เป็นนิยายรักที่เขียนลงบนเว็บไซด์บนมือถือ และได้รับความนิยมมาก จนได้นำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ แล้วก็ขายได้กว่าล้านเล่มในเดือนแรกที่ขาย "มิกะ" เจ้าของเรื่องรักที่ฮิตในหมู่วันรุ่นเรื่องนี้ ได้แรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องมาจากชีวิตจริงของเธอเอง ภาพยนตร์เรื่อง Sky of Love เล่าเรื่องราวความรักของ มิกะ (อารากากิ ยูอิ) นักเรียนชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งที่แอบหลงรักเพื่อนร่วมชั้นเรียน ฮิโรกิ (มิอุระ ฮารุมะ) จากเด็กสาวธรรมดาที่ไม่เคยมีความรักกลับกลายเป็นความรักที่สุดแสนจะลึกซึ้ง แต่แล้ว ฮิโรกิ กลับทิ้งเธอไปอย่างไม่มีเหตุผล มิกะเสียใจมากและความรักครั้งนั้นกลายเป็นบาดแผลฝังลึกจนยากที่จะเปิดใจรับความรักครั้งใหม่ แต่เมื่อเธอได้เจอกับ ยู (โคอิเดะ เคซึเกะ) ชายหนุ่มที่เพียรทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้เห็นเธอมีความสุจข มิกะ ก็เริ่มใจอ่อน จนยอมคบกับเขา แต่แล้วในคืนวันคริสต์มาสอีฟแรกที่ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน มิกะ ก็ได้รู้ถึงเหตุผลที่ฮิโรกิ ต้องทิ้งเธอไป กับความลับที่ทำให้หัวใจของผู้ชมทั่วญี่ปุ่นต้องร้องไห้ให้หนังเรื่องนี้มาแล้ว

4 เหตุผลที่ Sky of love ทำให้คนญี่ปุ่นกว่า 20 ล้านคนต้องเสียน้ำตา

1 . หนังรักเรียกน้ำตาที่ได้แรงบันดาลใจจาก FWD_mail ทางมือถือ จนถูกนำไปเขียนเป็นนิยายที่ทำยอดขายถึง 12 ล้านเล่ม

2. Sky of love หรือ Koizora เปิดตัวอันดับ 2 บนบ็อกซ์ออฟฟิศญี่ปุ่น แล้วยิ่งฉายยิ่งแรงจนสามารถแซงหนังดังอย่าง Resident Evil 3 และ Alway2 ขึ้นมาอยู่บนอันดับ 1 ได้สำเร็จ

3. ยูอิ อารางาคิ สาวน้อยหน้าใสมากความสามารถผู้รับบท มิกะ นางเอกของเรื่อง ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ Sky of love (Koizora) ด้วยตัวเองเนื้อร้องพูดถึง ความสุขที่แท้จริงในวันคืนแห่งความหวัง 4. มองกันเผินๆ Sky of love (Koizora) อาจดูเหมือนหนังรักทั่วๆ ไปในญี่ปุ่น แต่พลังมัดใจที่เรียกน้ำตาคนดูได้อย่างอยู่หมัดก็คือ ความเชื่อในความรักของตัวละครพระเอกนางเอกของเรื่อง เขาทั้งคู่เชื่อว่า ไม่ว่าจะร้อนหนาวหรือทุกข์สุขเพียงใด ถ้าหากเพียงได้รู้ว่าคนที่เรารักพร้อมจะเดินเคียงข้างไปด้วยกัน แม้จะเหลือเวลาเพียงแค่ 1 วัน 1 นาที หรือ 1 วินาที มันก็คงคุ้มค่าที่ได้เกิดมาแล้ว ..


วันทานาบาตะ..คือวันแห่งความรักและความ สุขสมหวังของดวงดาว 2 ดวง たなばた

たなばた

ดวงแรกมีนามว่า "โอริ ฮิเมะ" และดวงที่สองมีนามว่า "ฮิโกโบชิ" ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นที่ได้เล่ากันต่อ ๆ กันมาว่า ดวงดาวสองดวงนี้ต้องพรัดพรากจากกันโดยมีทางช้างเผือก หรือที่คนญี่ปุ่นสมัยโบราณตั้งชื่อให้ว่า อามาโน่ คาวา ตามจินตนาการของคนสมัยโบราณจะมองเห็นทางช้างเผือกที่มีดวงดาวนับร้อยนับพันดวงมารวมกันเป็นทางยาวนั้นเขามอง เห็นเป็นเหมือนแม่น้ำสายใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า "อามาโน่ คาวา" ซึ่งแปลตาม ศัพท์ตรง ๆ ว่า "แม่น้ำแห่งสวรรค์" และแม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำสายที่ขวางกั้น ดวงดาวสองดวงให้ต้องพรัดพรากจากกัน แต่ในทุก ๆ ปี ของวันที่ 7 เดือน 7 (กรกฏาคม) ซึ่งเป็นวันที่ทางช้างเผือกจะออกมาปรากฏบนท้องฟ้าประเทศญี่ปุ่นให้ได้เห็นกันในทุก ๆ ปีนั้น..จะเป็นวันที่ดวงดาวสองดวงคือ "โอริ ฮิเมะ" กับ "ฮิโกโบชิ" จะได้มีโอกาสได้มาพบกันสมดังใจที่คิดถึงดังใจปรารถนาของทั้งสองและในวันนี้ก็เป็นวันที่ให้กำเนิดพิธี "ทานาบาตะ" ขึ้นมาคนญี่ปุ่นจะเชื่อถือและเล่ากันต่อ ๆ มาสู่ลูก ๆ หลาน ๆ ว่า"ให้ไปตัดต้นไผ่ นำมาปักไว้ในรั้วบ้านและให้เขียนคำอธิฐานใส่กระดาษ นำไปผูกไว้ที่ต้นไผ่ที่ตัดมา แล้วคำอธิฐานอันนั้นก็จะได้ผลสมดังใจปรารถนาเหมือนกับ "โอริ ฮิเมะ" และ "ฮิโกโบชิ"ที่ได้สมหวังและได้พบกันในวันนั้น.."

ทำไมคนญี่ปุ่นต้องอธิษฐานขอพรในวันนั้นกันหรือ ? แล้วทำไมจะต้องเอากระดาษคำอธิษฐานไปผูกติดไว้ที่ต้นไผ่ด้วยล่ะ ? เมื่อสมัยก่อนในวันที่ 7 เดือน 7 (กรกฏาคม) ของทุก ๆ ปีนั้น จะเป็นวันที่คนญี่ปุ่นจะมีพิธีบูชา " พระแม่คงคา " หรือมีชื่อเฉพาะอีกอย่างว่า " ทานาบาตะซึเมะ " ซึ่งในวันนี้พวกผู้หญิงจะทำการทอผ้า และจะนำไปบวงสรวงหรือเซ่นไหว้ ให้กับแม่คงคา เพื่ออธิษฐานขอให้พระแม่คงคาช่วยคุ้มครองอย่าให้เกิดหรือมีทุพภิกขภัยใด ๆ เกิดกับครอบครัวของพวกเธอในภายภาคหน้ากัน... พิธีการและธรรมเนียมการอธิษฐานขอพรทำนองนี้ ก็เกิดมีที่ประเทศจีนเหมือนกันชื่อ " โฮชิ มาซึรี (เทศกาลขอพรจากดวงดาว) " จะทำขึ้นในวันที่ 7 เดือน 7 (กรกฏาคม)ของทุก ๆ ปีเหมือนกับญี่ปุ่น จุดประสงค์ก็คล้าย ๆ กัน จะมีแตกต่างก็นิด หน่อย คือในวันนี้พวกผู้หญิงที่ประเทศจีนจะทำการอธิษฐานขอพรจากดวงดาวเพื่อขอให้ตนนั้น ทำการทอผ้าและเย็บผ้าร้อยเข็มได้เก่ง ๆ กัน... เล่ากันต่อ ๆ มาว่าพิธีการและธรรมเนียมการ อธิษฐานขอพร" โฮชิ มาซึรี (เทศการขอพรจากดวงดาว) " ของจีนนี้ ได้ตกทอดมาถึงญี่ปุ่นด้วย และรวมถึงว่าที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นก็ได้พอดีมีพิธีบูชา " พระแม่คงคา(ทานาบาตะซึเมะ) " ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่คล้าย ๆ กันอยู่ ดังนั้นในเวลาต่อมาประมาณในสมัยเอโดะพวกประชาชน พลเมืองทั้งหลาย จึงกำหนดให้มีธรรมเนียมการขอพรจากดวงดาวกันขึ้นมา ด้วยการเขียนคำ อธิษฐานขอพรที่ตัวเองต้องการใส่ลงไปในกระดาษแล้วจะนำไปผูกติดไว้ที่ต้นไผ่นั้นได้กำเนิด เกิดขึ้นและได้ทำสืบเนื่องต่อ ๆ กันมาจนปัจจุบันนี้นั่นเอง ..


แฟชั่นสไตล์ Punk


Punk Punk หรือ UK.Punk (พังค์) แฟชั่นสไตล์ Punk เริ่มตั้งแต่ยุคปลายของปี’60 และถิ่นกำเนิดของแฟชั่นแนวนี้คือประเทศอังกฤษ สมัยนั้นจะเริ่มในกลุ่มเล็กในยุคที่มีการปฏิวัติและเหตุจลาจลกลางเมือง ซึ่งแนวนี้จะออกแนวรุนแรง เช่น มีการเจาะตามร่างกาย การเพ้นท์หรือสัก แฟชั่นแนวนี้จะเน้นโทนสีดำเป็นหลัก นิยมทั้งผู้หญิงและผู้ชาย นิยมแต่งหน้าและเขียนตากับปากด้วยสีดำ โดยจะมีส่วนประกอบของผ้าที่เป็นตาข่าย และเศษผ้าลุ่ยๆ ส่วนเครื่องประดับส่วนใหญ่จะเป็นเข็มขัด โซ่และหมุดเหล็ก โดยจะเห็นได้จาก วงร็อกของอเมริกานั่นเอง Punk หรือ UK.Punk (พังค์) JAP’Punk (เจแปนพังค์) เป็นพังค์ที่ประยุกต์ให้เข้ากับสไตล์ของญี่ปุ่น ต้นแบบมาจาก UK.Punk และการ์ตูนเรื่อง NANA ของ Ai Yazawa พังค์ในแบบญี่ปุ่นบางทีก็จะอาศัยประยุกต์ระหว่างผ้าลายญี่ปุ่นมาบวกกับการออกแบบในแนวพังค์

แฟชั่นญี่ปุ่น

ส่วนการแต่งตัวแบบชาวญี่ปุ่น ก็ยังไม่ได้หายไปไหน แต่บางคนอาจไม่รู้ว่า ที่เค้าแต่งๆ กันนั้น เรียกว่ายังไง วันนี้เย็นตาโฟรวบรวมมาให้อ่านกัน









แฟชั่นญี่ปุ่น แฟชั่นวัยรุ่นสไตล์ญี่ปุ่นตอนนี้ที่มาแรงสุดๆ ก็คงจะเป็น เสื้อผ้า ประเภท Gothic & Lolita และ Punk เรามาเริ่มรู้จักกันเลยดีกว่าว่าแต่ละสไตล์เป็นอย่าง












Gothic (โกธิค) แฟชั่นแนวนี้ส่วนมากจะเน้นไปในเรื่องของโทนสีที่ดูครึมๆ ลึกลับๆ ซึ่งเป็นแฟชั่นแบบ “Dark Style” มักจะเป็นสีดำซะส่วนใหญ่ แต่ก็อาจจะมีส่วนประกอบเป็นสีขาว หรือสีแดง ตามแต่สไตล์ของแต่ละคน ที่มาของแฟชั่นแนวนี้มาจากทางยุโรปเหนือและแถบอังกฤษค่ะ ซึ่งต้นกำเนิดอยู่ที่ชาวพื้นเมือง เรียกว่า “ชาวโกธิค” ซึ่งเราจะเห็นแฟชั่นสไตล์นี้ในหนังผี เช่น พวกท่านเคาน์, แวมไพร์ หรือพวกแม่มดในเทพนิยายที่ดูเรียบแต่หรูนั่นเอง หรือถ้าใครเคยอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่อง “หนุ่มหล่อเฟี้ยว แปลงโฉมสาว” (Yamatonadeshiko) ก็จะเห็นการแต่งการสไตล์ Gothic














Lolita หรือ Lolita Baby (โลลิต้า) ส่วนมากแฟชั่นแนวนี้จะเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นสาวๆ มากกว่า เพราะจะออกแนวหวานแหว๋วเหมือนตุ๊กตาน่ารักนะคะ เสื้อผ้าในแนวนี้จะเน้นไปทางลูกไม้ ระบาย และสีผ้าที่ดูหวานๆ เช่น สีชมพู สีขาว ซะส่วนใหญ่แฟชั่นแบบ Lolita คือการนำเอาแบบชุดของตุ๊กตาของเด็กผู้หญิงและชุดของเชื้อพระวงศ์ (พวกเจ้าหญิงน่ะคะ)นำมาประยุกต์ใช้กันให้เหมือนเจ้าหญิงน้อยๆในเทพนิยาย แฟชั่นแนวนี้เป็นที่นิยมมากในผู้ดีสมัยก่อนในแถบยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และได้แพร่หลายไปในอีกหลายประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่น Neo Lolita (นีโอโลลิต้า) Neo Lolita (นีโอโลลิต้า) Neo Lolita เป็นการนำสไตล์ Lolita มาประยุกต์ให้เป็นแบบที่ทันสมัย แต่ยังคงความคลาสสิกเอาไว้ เป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่นโดยเฉพาะสาวๆ เพราะโทนสีจะหวานๆ นอกจากนั้นยังใช้ผ้าลายสก็อตมาตกแต่งอีกด้วย Gothic & Lolita Gothic & Lolita แฟชั่นสไตล์ Gothic & Lolita คือ การนำเอาแฟชั่นแนว Gothic และ Lolita มารวมกัน โดยนำเอาความลึกลับของแนว Gothic และความหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของแนว Lolita มาผสมผสานกันทำให้เกิดเป็นแนวใหม่ คือ Gothic & Lolita ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคงจะเป็นเสื้อผ้าของ Mana วง Malice Mizer



วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การพับกระดาษแบบญี่ปุ่น โอ ริงามิ




ในประเทศญี่ปุ่น เด็กๆเริ่มรู้จักโอริงามิตั้งแต่ยังแบเบาะ เรียกได้ว่ายังไม่เข้าโรงเรียนก็รู้จักโอริงามิเสียแล้ว ส่วนในประเทศตะวันตก โอริงามิเป็นเครื่องมือประกอบการสอนที่มีลักษณะพิเศษและเป็นหลักสูตรเสริมในโรงเรียนหญี่ปุ่นเรียกการพับกระดาษเป็นรูปต่างๆ ว่า โอริงามิ
วารสาร "นิปโปะเนีย ค้นหาญี่ปุ่น" เล่าประวัติความเป็นมาของ โอริงามิ ว่า เป็นทั้งกิจกรรมยามว่างและศิลปะที่เป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาช้านาน
วิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นในอดีตผูกติดกับการเกษตร ในแต่ละฤดูกิจกรรมของชาวไร่ชาวนาสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรอบปี งานต่างๆ เหล่านี้เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม
ช่วงที่ชาวบ้านทำของถวายเทพเจ้า จะจัดเรียงบนกระดาษที่พับอย่างเป็นทางการ ส่วนสิ่งของที่ใช้ในเทศกาลต่างๆ ก็จะห่อในกระดาษที่มีแบบแผนตาม สันนิษฐานว่า ธรรมเนียมปฏิบัตินี้เริ่มขึ้นในสมัยมุโระมาจิ ราวศตวรรษที่ 14-16 เป็นยุคที่เน้นความสำคัญเรื่องมารยาทและสมบัติผู้ดี ดังนั้นการห่อของขวัญต่างๆ จึงพัฒนาขึ้นโดยใช้กระดาษที่มีลวดลายสวยงาม เรียกว่า โอริคะตะ หรือ โอริงะตะ เป็นรากฐานของ โอริงามิ
โอริคะตะ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสมัยมุโระมาจิและหลังจากยุคนี้ โดยมีหนังสือชื่อ โฮเคะทซึคิ แปลว่า การห่อและมัดสิ่งของ ตีพิมพ์ในปีค.ศ.1764 กลายเป็นสื่อที่กระตุ้นให้ผู้คนสนใจเทคนิคการพับกระดาษอย่างแพร่หลาย
นอกจากนี้ยังมีหนังสือชื่อ เซ็นบะซุรุ โอริคะตะ หรือ การพับนกกระเรียนพันตัว แต่งโดยพระภิกษุโระโคอัน ในปี 1797 บรรยายถึงวิธีการพับนกกระเรียนกระดาษ 49 แบบเพื่อเชื่อมให้ติดกัน
หลังจากนั้นศิลปะโอริคะตะ วิวัฒนาการไปเป็นกิจกรรมยามว่างของกลุ่มสามัญชนโดยทั่วไป มีภาพตัวอย่างของการตกแต่งห่อของขวัญ ผูกสิ่งของในหนังสือเล่มต่างๆ และพัฒนาไปสู่การพับกระดาษเรียกว่าโอริงามิ
ในปีค.ศ.1973 สมาคมนิปปอน โอริงามิ จัดตั้งขึ้นและทำหน้าที่รวบรวมสัญลักษณ์และคำศัพท์ต่างๆ ที่ใช้อธิบายและพรรณนาเทคนิคการพับ โอริงามิ เป็นแบบแผนเดียวกัน ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบ โอริงามิ จึงรับเอาคำศัพท์และภาพตัวอย่างมาใช้
สมาคมนี้ได้รับการสนับสนุนให้จัดงานนิทรรศการโอริงามิในระดับโลกมาแล้วทั้งหมด 12 ครั้ง รวมถึงนิทรรศการอื่นๆ อีกมาก จากนั้นมีนิตยสารรายเดือน เก็กคัง โอริงามิ เปิดตัวในปี 1975 นำเสนอความสนุกจากการพับกระดาษให้โอริงามิเผยแพร่ไปทั่วโลกลายแห่ง


วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สำหรับแม่ น้อยกว่านี่ได้ยังไง

ไกล้ถึงวันแม่แล้ววววว
มะแม่ๆ ก็อยากบอกว่า ถึงลุกอ่ะจะชอบทำตัว
ต่อต้านสิ่งที่แม่บอก ทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีไรมากมายหรอกนะ
รักแม่100 %

ดินแดนแห่งสันตินิรันดร์ แด่บทเพลงแห่งอีเธอร์

ชื่อ นางสาวอิศยาภรณ์ ทองเกษมสกุล Camping


ม.5/2 เลขที่30


โรงเรียนอาเวมารีอา


ผู้แนะนำ ครู วีระชน ไพสาทย์




ทำเสร็จภายใน 15 นาที
ความรู้สึก- 555+ง่ายมาก
ความใฝ่ฝัน
-แพทย์
-รวย มีงานที่มั่นคง


สิ่งที่ชอบที่สุด

-ท้องฟ้า

-ถึงตอนนีฉันก็คงรักท้องฟ้าอยู่ และจะรักตลอดไป
รักแม่ 100%